วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ระบบนิเวศป่าชายเลน

ระบบนิเวศป่าชายเลน


          ระบบนิเวศวิทยาที่เกิดขึ้นในป่าชายเลนนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม พืชพรรณธรรมชาติชนิดต่าง ๆ เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสงจะทำให้เกิดอินทรียวัตถุและการเจริญเติบโต กลายเป็นผู้ผลิต (producers) ของระบบส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ นอกเหนือจากมนุษย์นำไปใช้ประโยชน์จะร่วงหล่นทับถมในน้ำและในดิน ในที่สุดก็จะกลายเป็นแร่ธาตุของพวกจุลชีวัน เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา แพลงก์ตอน ตลอดจนสัตว์เล็ก ๆ หน้าดินที่เรียกกลุ่มนี้ว่า ผู้บริโภคของระบบ (detritus consumers) พวกจุลชีวันเหล่านี้จะเจริญเติบโตกลายเป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำเล็ก ๆ อื่น ๆ และสัตว์เล็ก ๆ เหล่านี้ จะเจริญเติบโตเป็นอาหารของพวกกุ้ง ปู และปลาขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับของอาหาร (tropic levels) นอกจากนี้ ใบไม้ที่ตกหล่นโคนต้นอาจเป็นอาหารโดยตรงของสัตว์น้ำ (litter feeding) ก็ได้ ซึ่งทั้งหมดจะเกิดเป็นห่วงโซ่อาหารขึ้น ในระบบนิเวศป่าชายเลน และโดยธรรมชาติแล้วจะมีความสมดุลในตัวของมันเอง แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งก็จะเป็นผลทำให้ระบบความสัมพันธ์นี้ถูกทำลายลง จนเกิดเป็นผลเสียขึ้นได้ เช่น ถ้าหากพื้นที่ป่าชายเลนถูกบุกรุกทำลาย จำนวนสัตว์น้ำก็จะลดลงตามไปด้วยตลอดจนอาจเกิดการเน่าเสียของน้ำตามมา
          พบว่า ปูทะเล (scylla serrata) จัดเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีความสำคัญในบริเวณป่าเลนจังหวัดระนอง เพราะการจับปูทะเลเป็นอาชีพที่สามารถทำรายได้ดีแก่ชาวประมงพื้นบ้าน จำนวน 70 คน ใน 4 หมู่บ้านที่อาศัยอยู่บริเวณป่าชายเลน โดยสามารถจับขายได้ละประมาณ 109 ตัน ซึ่งในจำนวนนี้พบว่าร้อยละ 46 หรือประมาณ 50 ตัน เป็นปูทะเลที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ซม. ในขณะที่ประมาณร้อยละ 42 จะมีขนาดใหญ่กว่า 10 ซม. โดยไม่ร่วมปูตัวเมียที่มีไข่ ส่วนปูทะเลตัวเมียที่มีไข่ ขนาด 10 - 11.5 ซม. จับได้ประมาณ
ร้อยละ 12
          ทางด้านสิ่งแวดล้อมป่าชายเลน มีความสำคัญในด้านการอนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งทะเลโดยเฉพาะช่วยลดภาระน้ำเสียและยังช่วยทำให้เกิดการงอกของแผ่นดินขยายออกไปสู่ทะเลอีกด้วย ความสำคัญของป่าชายเลนด้านการอนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งทะเลนั้น ไพโรจน์ (2534) สรุปไว้ดังนี้
          ก) ป่าชายเลนเป็นฉากกำบังภัยธรรมชาติ เพื่อป้องกันลมพายุมรสุมต่อการ
พังทลายของดินที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล
          ข) ป่าชายเลนช่วยป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ รากของต้นไม้ในป่าชายเลนที่งอกออกมาเหนือพื้นดิน จะทำหน้าที่คล้ายตะแกรงธรรมชาติ คอยกลั่นกรองสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ที่มากับกระแสน้ำ ทำให้น้ำในแม่น้ำ ลำคลอง และชายฝั่งทะเลสะอาดขึ้น
          ค) ป่าชายเลนช่วยทำให้พื้นดินบริเวณชายฝั่งทะเลงอกขยายออกไปในทะเล รากของต้นไม้ในป่าชายเลน นอกจากจะช่วยป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษแล้ว ยังช่วยทำให้ตะกอนที่แขวนลอยมากับน้ำทับถมเกิดเป็นแผ่นดินงอกใหม่ เมื่อระยะเวลานาน ก็จะขยายออกไปในทะเลเกิดเป็นหาดเลน อันเหมาะสมแก่การเกิดของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน จากการสำรวจของกรมป่าไม้ในปี 2528 พบว่ามีหาดเลนงอกใหม่ประมาณ 62,906 ไร่ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เพชรบุรีและจังหวัดอื่น ๆ

องค์ประกอบของระบบนิเวศ  (ecosystem  componet) 


ประโยชน์ของป่าชายเลน
  • เป็นแหล่งพลังงานและอาหาร
  • เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ตามธรรมชาติ
  • เป็นเครื่องป้องกันแนวชายฝั่งทะเล
  • ควบคุมการกัดเซาะพังทลาย
  • เพื่อซับน้ำเสีย
  • เป็นแนวกำบังกระแสน้ำเชี่ยวที่ปากแม่น้ำและพายุหมุน
  • เป็นแหล่งวัตถุดิบผลิตภัณฑ์จากไม้
  • เป็นแหล่งเชื้อเพลิง
  • เป็นแหล่งวัสดุก่อสร้าง
  • เป็นแหล่งวัตถุดิบสิ่งทอและหนังสัตว์
  • เป็นแหล่งอาหาร ยา และเครื่องดื่ม
  • การผลิตกรดจากเปลือกไม้ (tannin)
  • การทำเหมือนแร่ดีบุกในบริเวณป่าชายเลน
  • ให้ผลผลิตน้ำเย็นในระบบหล่อเย็นของโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม
  • ให้ผลผลิตเกลือ
  • ให้ผลผลิตมวลชีวภาพ (biomass) แก่แหล่งประมง
คุณค่าและความสำคัญของระบบนิเวศป่าดิบชื้น 

  -
เป็นส่วนหญิงของวัฏจักรในระบบนิเวศ  เช่น วัฏจักรน้ำ  ออกซิเจน  คาร์บอน  ไนโตรเจน  เป็นต้น
   - เป็นแหล่งกำเนิดปัจจัยสี่
   - เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร
   - ช่วยปรับสภาพภูมิอากาศ
   - ช่วยกักเก็บน้ำ
   - ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์แก่ดิน
   - ลดความรุนแรงของน้ำท่วม
   - ลดการกัดเซาะของหน้าดิน
   - เป็นแนวป้องกันลมพายุ
   - เป็นที่อยู่และแหล่งหลบภัยของสัตว์ป่า
   - เป็นแหล่งนันทนาการ
สาเหตุหลักของการลดลงของป่าไม้  สรุปได้ดังนี้ 


   -
การเพิ่มจำนวนของประชากรอย่างรวดเร็วและความจำเป็นในการตอบสนองด้านปัจจัยสี่ของมนุษย์ทำให้เกิดความต้องการไม้เป็นจำนวนมาก เพื่อกิจกรรมต่างๆเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชน  เพื่ออุตสาหกรรม  เพื่อสาธารณูปโภคต่างๆ  เช่นถนนขึ้นสู่ดอย  การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ  เป็นต้น
   - การบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ป่า  เพื่อใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเพิ่มมากขึ้น  เช่น  เพื่อทำสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน  การบุกรุกพื้นที่ป่าขายเลน เพื่อทำนากุ้งกุลาดำ  นอกจากนี้  การกว้านซื้อที่ดินในบริเวณที่เพิ่งถอนสภาพป่าจากเกษตรกร  ซึ่งทำให้เกิดการขยายพื้นที่ทำกินในป่าสงวนต่อไปอีก
   - การส่งเสริมการท่องเที่ยว  การสนองนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยการสร้างรีสอร์ท  เป็นเหตุให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่ารวมทั้งความเสื่อมโทรม และการสูญเสียความสมดุลของระบบนิเวศป่าไม้จากปริมาณนักท่องเที่ยวและขยะมูลฝอยที่นักท่องเที่ยวทิ้งไว้
   - การลักลอบตัดไม้  เนื่องจากการป้องกันรักษาป่าไม้ยังไม่เข้มแข็งและเด็ดขาด  อีกทั้งข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณดำเนินการแก่หน่วยงานป่าไม้
   - การเกิดไฟป่า  ซึ่งเกิดขึ้นโดยความตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ปัญหาความเสื่อมโทรมของต้นน้ำลำธารและแหล่งน้ำ 

    ต้นน้ำลำธารมีต้นกำเนิดบนเทือกเขาสูงโดยมีป่าช่วยดูดซับน้ำ  แต่ในปัจจุบันพื้นที่ป่าต้นน้ำเสื่อมโทรมมากโดยมีสาเหตุดังนี้
   - การทำลายป่าเพื่อการเกษตรกรรม  เนื่องจากประชากรเพิ่มอย่างรวดเร็วทำให้ขาดที่ดินทำกินและ เกิดจากการ เร่งเพิ่มผลผลิต ทางการเกษตรของพืชไร่บางชนิดเพื่อส่งเสริมสินค้าส่งออก ทำให้มีการบุกรุกทำลายป่าและเปิดเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เพิ่มเป็นเงาตามตัว และเกิดจากการที่ผลผลิตทางการเกษตรต่อหน่วยพื้นที่น้อย  จึงต้องใช้พื้นที่เกษตรกรรมมากขึ้น เพื่อให้ได้ ผลผลิตพอกับความต้องการ  ผู้บุกรุกป่ามี  2  กลุ่ม  คือชาวไทยบนพื้นที่ราบและชาวเขาบนพื้นที่สูงภาคเหนือ  ชาวไทยที่ราบ ตัดป่าทำธุรกิจอย่างเห็นแก่ตัว  ชาวเขาตัดป่าเพื่อเพาะปลูก  และชาวเขาจะทำเกษตรซ้ำอยู่ที่เดิมประมาณ  4 – 5 ปี  เมื่อดินหมดความสมบูรณ์  ก็จะเคลื่อนย้ายทำลายป่าเพื่อยึดเป็นพื้นที่เกษตรกรรมแห่งใหม่ต่อไป
   - ไฟป่า  มีอิทธิพลต่อดิน  น้ำในบริเวณต้นน้ำลำธาร  ไฟป่าในประเทศไทยเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น เช่น  เผาป่า  ทำไร่  เผาป่าล่าสัตว์  ไฟป่าจะเกิดในฤดูร้อน  ซึ่งสภาพป่าจะแห้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งหญ้าและไม้พื้นล่างที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
ในภาคเหนือและภาคอีสานมีฝนน้อย  ไฟป่าจึงเกิดได้ยาวนานกว่าภาคอื่นๆ ไฟป่าเกิดได้ง่ายในป่าดิบแล้ง  ป่าเต็งรัง
และบริเวณทุ่งหญ้า  ซึ่งเกิดจากการทำไร่เลื่อนลอย  ไฟป่าทำให้เศษใบไม้บริเวณผิวหน้าดินถูกเผาผลาญ 
ทำให้พื้นดินขาดสิ่งปกคลุมที่ดูดซับน้ำ  เม็ดดินบริเวณผิวหน้าดินเมื่อถูกความร้อนจากไฟจะแห้งเข็งเป็นมัน  ไม่ดูดซับน้ำ
เมื่อฝนตกทำให้เกิดการไหลบ่าของหน้าดินมากขึ้นและเกิดการกัดเซาะได้ง่ายอย่างยิ่ง
   - การก่อสร้างถนน  ในเขตภูเขาสูงบริเวณต้นน้ำ  ตัวถนนซึ่งเปิดหน้าดินขึ้นมาหรือมูลดินที่เกรดทิ้งไว้ข้างทางจะเป็นแหล่งดินตะกอน  ซึ่งจะถูกกัดชะลงในห้วยลำธาร  ทำลายความเสียหายแก่คุณภาพน้ำได้มาก
   - การเลี้ยงสัตว์  ชาวเขาที่อาศัยต้นน้ำจะเลี้ยงสัตว์แทบทุกครอบครัว  จำพวกวัว  ควาย  ม้า  โดยปล่อยให้หากินตามไร่ร้าง  ทำให้ดินแน่นตัว  ลดสมรรถนะในการดูดซับน้ำและทำให้เกิดการไหลบ่าของหน้าดินมากขึ้น
   - การทำเหมืองแร่  น้ำที่ปล่อยสู่ลำห้วยจากพื้นที่ทำเหมืองมีตะกอนมาก  การทำเหมืองแร่บนภูเขาสูงทำให้ดินที่เปิดออกถูกกัดชะได้ง่าย  และยากที่จะฟื้นฟูให้เป็นสภาพเดิม  หลังจากการทำเหมืองผ่านไปแล้ว
การใช้ยาฆ่าแมลงและวัชพืช  หากใช้มากเกินไปไม่ถูกวิธีทำให้คุณภาพน้ำเสื่อมลง  และเกิดอันตรายแก่ผู้ใช้
น้ำทางตอนล่างได้  และการจัดระบบหมู่บ้านบนที่สูงหากไม่ถูกสุขลักษณะก็จะก่อมลภาวะแก่น้ำในลำห้วย  ลำธารได้

สาเหตุของการลดลงของป่าชายเลน 

- การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ  โดยเฉพาะการทำนากุ้ง พื้นที่ป่าชายเลนเป็นแหล่งผลิตอินทรีย์สารและธาตุอาหารที่สำคัญ  สำหรับสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนซึ่งมีมากมายหลายชนิด  เช่น  กุ้ง  หอย  ปู  ปลา  เป็นต้น  ดังนั้นการแผ้วถางป่าแล้วจึงขุดบ่อขึ้นภายหลัง  เป็นการทำลายแหล่งแร่ธาตุที่มีการหมุนเวียน  เพื่อให้เกิดการสมดุลตามระบบธรรมชาติในระบบนิเวศวิทยาป่าชายเลน  และการทำนากุ้งวิธีนี้ยังทำความเสียหายแก่พื้นที่ป่าชายเลนมาก  เพราะนอกจากจะตัดไม้ลงแล้ว  ยังต้องขุดรากถอนโคนออกหมด  เป็นการทำลายพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่มีอยู่ในบริเวณนั้น  การทำลายป่าชายเลนในลักษณะนี้เป็นการเปลี่ยนสภาพจากพื้นที่ป่าไม้เป็นพื้นที่เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างถาวร  ซึ่งเป็นการทำลาย  ทรัพยากรป่าไม้และระบบนิเวศป่าชายเลนด้วย
   - การทำเหมืองแร่  การทำเหมืองแร่มีส่วนในการทำลายสภาพป่าและความอุดมสมบูรณ์ของป่า  จนยากที่จะฟื้นให้มีความสมบูรณ์เช่นเดิมในระยะเวลาอันสั้นได้  ทั้งนี้เนื่องจากวิธีการทำเหมืองแร่  จะต้องขุดให้ลึกจนถึงสายแร่  ดินตะกอน  กรวด  และทรายที่ถูกพลิกขึ้นมาทับถม  ทำให้ป่าชายเลนไม่สามารถฟื้นตัวเกิดได้ดังเช่นเดิม  นอกจากนั้น  คุณภาพของน้ำยังเลวลง  เนื่องจากมีตะกอนขุ่นข้นแขวนลอยอยู่ด้วย  เมื่อตกตะกอนก็จะกลายเป็นดินดอนทำให้น้ำท่วมไม่ถึง  มีแต่ความแห้งแล้ง  ดังนั้น  การทำเหมืองแร่จึงก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบนิเวศป่าชายเลนโดยตรง
   - การก่อสร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่  เมื่อมีการตัดถนนป่าชายเลน  ก็จะมีการถมที่และสร้างอาคารบ้านเรือน  ร้านค้า  ศูนย์การค้า  ที่ทำการ  และสำนักงานบริเวณนั้นติดตามมา ราษฎรที่อยู่ใกล้กับป่าชายเลนก็จะบุกรุกและถือโอกาสครอบครองที่ดินเป็นของตัวเอง
   - การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้า  การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้าผ่านพื้นที่ป่าชายเลน  จะต้องมีการทำลายป่าชายเลนส่วนที่จะสร้างขึ้น  เป็นเหตุให้ป่าชายเลนลดน้อยลง  ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างอื่นตามมาด้วย  เช่น  สัตว์ในป่าชายเลนไม่มีที่อยู่อาศัย  เป็นต้น  และแนวถนนจะเป็นคันกั้นน้ำทะเล  ทำให้น้ำทะเลไหลลงสู่ป่าชายเลนไม่ได้  ต้นไม้ในป่าชายเลนจะตาย
   - การสร้างโรงงานอุตสาหกรรม  พื้นที่ป่าชายเลนที่อยู่แถบชายฝั่งทะเลส่วนหนึ่งถูกบุกเบิกเพื่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรม  ทำให้เสียพื้นที่ป่าชายเลนเป็นจำนวนมาก  และโรงงานอุตสาหกรรมยังปล่อยของเสียลงสู่ป่าชายเลนบริเวณรอบข้าง  ทำให้ระบบนิเวศป่าชายเลนถูกทำลาย
   - การทำนาเกลือ  เนื่องจากแสงแดดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเผาน้ำทะเลให้ระเหยแห้งจนตกผลึกกลายเป็นเกลือ  ดังนั้น  ป่าชายเลนโดยรอบจะถูกตัดฟันจนหมด  เพื่อเปิดพื้นที่ให้โล่งมากที่สุด  จึงเป็นสาเหตุให้ป่าชายเลนถูกทำลายเป็นจำนวนมาก
   - การตัดไม้เกินกำลังของป่า  ปริมาณความต้องการใช้ประโยชน์จากไม้ในป่าชายเลนมีจำนวนมาก  เช่น  การเผาถ่าน  ทำเสาเข็ม  ไม้ค้ำยัน  เฟอร์นิเจอร์  เป็นต้น  ซึงมากกว่ากำลังการผลิตของป่าชายเลน  ทำให้ป่าชายเลนถูกบุกรุกเป็นจำนวนมาก
ระบบนิเวศป่าชายเลน
   องค์ประกอบระบบนิเวศสามารถแบ่งออกเป็น  2  หมวดใหญ่ๆ  ได้ดังนี้
1)  ส่วนประกอบที่ไม่มีชีวิต  (abiotic  component)  เป็นส่วนประกอบในระบบนิเวศที่ไม่มีชีวิต
เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความสมดุลของระบบนิเวศขึ้นมา  โดยมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต 
ถ้าขาดองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตนี้สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศก็ไม่สามารถอยู่ได้  โดยแบ่งออกเป็น  3  ประเภท คือ
     -  อนินทรีย์สาร  เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติและเป็นส่วนประกอบที่เป็นแร่ธาตุพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเพื่อสร้างเนื้อเยื่อ
และอวัยวะต่างๆ  เช่น  ธาตุคาร์บอน  ไฮโดรเจน  น้ำ  ออกซิเจน  ไนโตรเจน  ฟอสฟอรัส  เป็นต้น  ซึ่งส่วนใหญ่ ่อยู่ในรูปของสารละลาย  สิ่งมีชีวิตสามารถนำไปใช้ได้ทันที
    -  อินทรีย์สาร  เป็นสารที่ได้จากสิ่งมีชีวิต  เช่น  คาร์โบไฮเดรต  โปรตีน  ฮิวมัส  เป็นต้น  เกิดจากการเน่าเปื่อยผุพัง
ของสิ่งมีชีวิต  โดยการย่อยสลายของจุลินทรีย์  ทำให้เป็นธาตุอาหารของพืชอีกครั้ง
   -  สภาพแวดล้อมทางกายภาพ  เช่น  แสงสว่าง  อุณหภูมิ  ความชื้น  ความเป็นกรด-เบส  ความเค็มเป็นต้น
สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำให้การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนั้นแตกต่างกันออกไป
2)  ส่วนประกอบที่มีชีวิต  (biotic  component)  ได้แก่  พืช  สัตว์  รวมทั้งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก  และสิ่งมีชีวิต
เซลล์เดียว  ซึ่งช่วยทำให้ระบบนิเวศทำงานได้อย่างเป็นปกติ  โดยแบ่งออกตามหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต  ได้เป็น  3  ประเภท  คือ
   -  ผู้ผลิต  (producer)  คือ  สิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารเองได้โดยการสังเคราะห์ด้วยแสง  ได้แก่ พืชสีเขียว 
แพลงก์ตอนพืช  และแบคทีเรียบางชนิด  ผู้ผลิตมีความสำคัญมากเพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่เชื่อมต่อระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต
และสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆในระบบนิเวศ
   -  ผู้บริโภค  (consumer)  คือ  สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารขึ้นเองได้  แต่ได้รับธาตุอาหารจากการกินสิ่งมีชีวิต อื่นอีกทอดหนึ่ง  พลังงานและแร่ธาตุจากอาหารที่สิ่งมีชีวิตกิน  จะถูกถ่ายทอดสู่ผู้บริโภค  ซึ่งแบ่งตามลำดับของการกินอาหารได้  ดังนี้
   -  ผู้บริโภคปฐมภูมิ  (primary  consumers)  เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหาร  (herbivore)  โดยตรง 
เช่น  ปะการัง  เม่นทะเล  กวาง  กระต่าย  วัว  เป็นต้น
ผู้บริโภคทุติยภูม  (secondary  consumers)  เป็นสิ่งมีชีวิตพวกสัตว์กินเนื้อ  (carnivore)  หมายถึง
สัตว์  ที่กินสัตว์กินพืช  หรือผู้บริโภคปฐมภูมิเป็นอาหาร  เช่น  ปลาไหลมอเรย์  ปลาสาก  นก  งู  หมาป่า  เป็นต้น
   -  ผู้บริโภคตติยภูมิ  (tertiary  consumers)  เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินทั้งสัตว์กินพืชและสัตว์กินสัตว์หรือพวกที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร  (omnivore)  เช่น  ปลาฉลาม
เต่า  เสือ  คน  เป็นต้น
   ผู้ย่อยสลาย  (decomposer)  คือ  สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้  แต่อาศัยอาหารจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น โดยการสร้างน้ำย่อย  ออกมาย่อยสลายแร่ธาตุต่างๆในส่วนประกอบของซากสิ่งมีชีวิตให้เป็นสารโมเลกุลเล็กๆ แล้วจึงดูดซึมอาหารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปใช้  เช่น  แบคทีเรีย  เห็ด  รา  เป็นต้น
     ระบบนิเวศ  มีคุณสมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่ง  คือ  มีกลไกในการปรับสภาวะตนเองเพื่อให้อยู่ในสภาวะสมดุล  โดยการที่ส่วนประกอบของระบบนิเวศทำให้เกิดการหมุนเวียนและถ่ายทอดสารอาหารผ่านสิ่งมีชีวิตซึ่งได้แก่  ผู้ผลิต  ผู้บริโภค  และผู้ย่อยสลายนั่นเอง  ถ้าระบบนิเวศนั้นได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ  และไม่มีอุปสรรคขัดขวางวัฏจักรของธาตุอาหาร  ก็จะทำให้เกิด  ภาวะสมดุล  (equilibrium)  ในระบบนิเวศนั้น  ทำให้ระบบนิเวศนั้นมีความคงตัว  ทั้งนี้เพราะการผลิตอาหารสมดุลกับการบริโภคภายในระบบนิเวศนั้น  การปรับสภาวะตัวเองนี้  ทำให้การผลิตอาหาร และการเพิ่มจำนวนของสิ่งมีชีวิตอื่นๆในระบบนั้นมีความพอดีกัน  กล่าวคือจำนวนประชากรชนิดใดๆ ในระบบนิเวศจะไม่สามารถเพิ่มจำนวนอย่างไม่มีขอบเขต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น