ระบบนิเวศวิทยาที่เกิดขึ้นในป่าชายเลนนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม พืชพรรณธรรมชาติชนิดต่าง ๆ เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสงจะทำให้เกิดอินทรียวัตถุและการเจริญเติบโต กลายเป็นผู้ผลิต (producers) ของระบบส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ นอกเหนือจากมนุษย์นำไปใช้ประโยชน์จะร่วงหล่นทับถมในน้ำและในดิน ในที่สุดก็จะกลายเป็นแร่ธาตุของพวกจุลชีวัน เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา แพลงก์ตอน ตลอดจนสัตว์เล็ก ๆ หน้าดินที่เรียกกลุ่มนี้ว่า ผู้บริโภคของระบบ (detritus consumers) พวกจุลชีวันเหล่านี้จะเจริญเติบโตกลายเป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำเล็ก ๆ อื่น ๆ และสัตว์เล็ก ๆ เหล่านี้ จะเจริญเติบโตเป็นอาหารของพวกกุ้ง ปู และปลาขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับของอาหาร (tropic levels) นอกจากนี้ ใบไม้ที่ตกหล่นโคนต้นอาจเป็นอาหารโดยตรงของสัตว์น้ำ (litter feeding) ก็ได้ ซึ่งทั้งหมดจะเกิดเป็นห่วงโซ่อาหารขึ้น ในระบบนิเวศป่าชายเลน และโดยธรรมชาติแล้วจะมีความสมดุลในตัวของมันเอง แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งก็จะเป็นผลทำให้ระบบความสัมพันธ์นี้ถูกทำลายลง จนเกิดเป็นผลเสียขึ้นได้ เช่น ถ้าหากพื้นที่ป่าชายเลนถูกบุกรุกทำลาย จำนวนสัตว์น้ำก็จะลดลงตามไปด้วยตลอดจนอาจเกิดการเน่าเสียของน้ำตามมา
พบว่า ปูทะเล (scylla serrata) จัดเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีความสำคัญในบริเวณป่าเลนจังหวัดระนอง เพราะการจับปูทะเลเป็นอาชีพที่สามารถทำรายได้ดีแก่ชาวประมงพื้นบ้าน จำนวน 70 คน ใน 4 หมู่บ้านที่อาศัยอยู่บริเวณป่าชายเลน โดยสามารถจับขายได้ละประมาณ 109 ตัน ซึ่งในจำนวนนี้พบว่าร้อยละ 46 หรือประมาณ 50 ตัน เป็นปูทะเลที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ซม. ในขณะที่ประมาณร้อยละ 42 จะมีขนาดใหญ่กว่า 10 ซม. โดยไม่ร่วมปูตัวเมียที่มีไข่ ส่วนปูทะเลตัวเมียที่มีไข่ ขนาด 10 - 11.5 ซม. จับได้ประมาณ
ร้อยละ 12
ร้อยละ 12
ทางด้านสิ่งแวดล้อมป่าชายเลน มีความสำคัญในด้านการอนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งทะเลโดยเฉพาะช่วยลดภาระน้ำเสียและยังช่วยทำให้เกิดการงอกของแผ่นดินขยายออกไปสู่ทะเลอีกด้วย ความสำคัญของป่าชายเลนด้านการอนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งทะเลนั้น ไพโรจน์ (2534) สรุปไว้ดังนี้
ก) ป่าชายเลนเป็นฉากกำบังภัยธรรมชาติ เพื่อป้องกันลมพายุมรสุมต่อการ
พังทลายของดินที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล
พังทลายของดินที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล
ข) ป่าชายเลนช่วยป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ รากของต้นไม้ในป่าชายเลนที่งอกออกมาเหนือพื้นดิน จะทำหน้าที่คล้ายตะแกรงธรรมชาติ คอยกลั่นกรองสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ที่มากับกระแสน้ำ ทำให้น้ำในแม่น้ำ ลำคลอง และชายฝั่งทะเลสะอาดขึ้น
ค) ป่าชายเลนช่วยทำให้พื้นดินบริเวณชายฝั่งทะเลงอกขยายออกไปในทะเล รากของต้นไม้ในป่าชายเลน นอกจากจะช่วยป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษแล้ว ยังช่วยทำให้ตะกอนที่แขวนลอยมากับน้ำทับถมเกิดเป็นแผ่นดินงอกใหม่ เมื่อระยะเวลานาน ก็จะขยายออกไปในทะเลเกิดเป็นหาดเลน อันเหมาะสมแก่การเกิดของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน จากการสำรวจของกรมป่าไม้ในปี 2528 พบว่ามีหาดเลนงอกใหม่ประมาณ 62,906 ไร่ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เพชรบุรีและจังหวัดอื่น ๆ
องค์ประกอบของระบบนิเวศ (ecosystem componet)
ประโยชน์ของป่าชายเลน
- เป็นแหล่งพลังงานและอาหาร
- เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ตามธรรมชาติ
- เป็นเครื่องป้องกันแนวชายฝั่งทะเล
- ควบคุมการกัดเซาะพังทลาย
- เพื่อซับน้ำเสีย
- เป็นแนวกำบังกระแสน้ำเชี่ยวที่ปากแม่น้ำและพายุหมุน
- เป็นแหล่งวัตถุดิบผลิตภัณฑ์จากไม้
- เป็นแหล่งเชื้อเพลิง
- เป็นแหล่งวัสดุก่อสร้าง
- เป็นแหล่งวัตถุดิบสิ่งทอและหนังสัตว์
- เป็นแหล่งอาหาร ยา และเครื่องดื่ม
- การผลิตกรดจากเปลือกไม้ (tannin)
- การทำเหมือนแร่ดีบุกในบริเวณป่าชายเลน
- ให้ผลผลิตน้ำเย็นในระบบหล่อเย็นของโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม
- ให้ผลผลิตเกลือ
- ให้ผลผลิตมวลชีวภาพ (biomass) แก่แหล่งประมง
คุณค่าและความสำคัญของระบบนิเวศป่าดิบชื้น
- เป็นส่วนหญิงของวัฏจักรในระบบนิเวศ เช่น วัฏจักรน้ำ ออกซิเจน คาร์บอน ไนโตรเจน เป็นต้น
- เป็นแหล่งกำเนิดปัจจัยสี่
- เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร
- ช่วยปรับสภาพภูมิอากาศ
- ช่วยกักเก็บน้ำ
- ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์แก่ดิน
- ลดความรุนแรงของน้ำท่วม
- ลดการกัดเซาะของหน้าดิน
- เป็นแนวป้องกันลมพายุ
- เป็นที่อยู่และแหล่งหลบภัยของสัตว์ป่า
- เป็นแหล่งนันทนาการ
สาเหตุหลักของการลดลงของป่าไม้ สรุปได้ดังนี้
- การเพิ่มจำนวนของประชากรอย่างรวดเร็วและความจำเป็นในการตอบสนองด้านปัจจัยสี่ของมนุษย์ทำให้เกิดความต้องการไม้เป็นจำนวนมาก เพื่อกิจกรรมต่างๆเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชน เพื่ออุตสาหกรรม เพื่อสาธารณูปโภคต่างๆ เช่นถนนขึ้นสู่ดอย การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ เป็นต้น
- การบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ป่า เพื่อใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเพิ่มมากขึ้น เช่น เพื่อทำสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน การบุกรุกพื้นที่ป่าขายเลน เพื่อทำนากุ้งกุลาดำ นอกจากนี้ การกว้านซื้อที่ดินในบริเวณที่เพิ่งถอนสภาพป่าจากเกษตรกร ซึ่งทำให้เกิดการขยายพื้นที่ทำกินในป่าสงวนต่อไปอีก
- การส่งเสริมการท่องเที่ยว การสนองนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยการสร้างรีสอร์ท เป็นเหตุให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่ารวมทั้งความเสื่อมโทรม และการสูญเสียความสมดุลของระบบนิเวศป่าไม้จากปริมาณนักท่องเที่ยวและขยะมูลฝอยที่นักท่องเที่ยวทิ้งไว้
- การลักลอบตัดไม้ เนื่องจากการป้องกันรักษาป่าไม้ยังไม่เข้มแข็งและเด็ดขาด อีกทั้งข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณดำเนินการแก่หน่วยงานป่าไม้
- การเกิดไฟป่า ซึ่งเกิดขึ้นโดยความตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ต้นน้ำลำธารมีต้นกำเนิดบนเทือกเขาสูงโดยมีป่าช่วยดูดซับน้ำ แต่ในปัจจุบันพื้นที่ป่าต้นน้ำเสื่อมโทรมมากโดยมีสาเหตุดังนี้
- การทำลายป่าเพื่อการเกษตรกรรม เนื่องจากประชากรเพิ่มอย่างรวดเร็วทำให้ขาดที่ดินทำกินและ เกิดจากการ เร่งเพิ่มผลผลิต ทางการเกษตรของพืชไร่บางชนิดเพื่อส่งเสริมสินค้าส่งออก ทำให้มีการบุกรุกทำลายป่าและเปิดเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เพิ่มเป็นเงาตามตัว และเกิดจากการที่ผลผลิตทางการเกษตรต่อหน่วยพื้นที่น้อย จึงต้องใช้พื้นที่เกษตรกรรมมากขึ้น เพื่อให้ได้ ผลผลิตพอกับความต้องการ ผู้บุกรุกป่ามี 2 กลุ่ม คือชาวไทยบนพื้นที่ราบและชาวเขาบนพื้นที่สูงภาคเหนือ ชาวไทยที่ราบ ตัดป่าทำธุรกิจอย่างเห็นแก่ตัว ชาวเขาตัดป่าเพื่อเพาะปลูก และชาวเขาจะทำเกษตรซ้ำอยู่ที่เดิมประมาณ 4 – 5 ปี เมื่อดินหมดความสมบูรณ์ ก็จะเคลื่อนย้ายทำลายป่าเพื่อยึดเป็นพื้นที่เกษตรกรรมแห่งใหม่ต่อไป
- ไฟป่า มีอิทธิพลต่อดิน น้ำในบริเวณต้นน้ำลำธาร ไฟป่าในประเทศไทยเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น เช่น เผาป่า ทำไร่ เผาป่าล่าสัตว์ ไฟป่าจะเกิดในฤดูร้อน ซึ่งสภาพป่าจะแห้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งหญ้าและไม้พื้นล่างที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
ในภาคเหนือและภาคอีสานมีฝนน้อย ไฟป่าจึงเกิดได้ยาวนานกว่าภาคอื่นๆ ไฟป่าเกิดได้ง่ายในป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง
และบริเวณทุ่งหญ้า ซึ่งเกิดจากการทำไร่เลื่อนลอย ไฟป่าทำให้เศษใบไม้บริเวณผิวหน้าดินถูกเผาผลาญ
ทำให้พื้นดินขาดสิ่งปกคลุมที่ดูดซับน้ำ เม็ดดินบริเวณผิวหน้าดินเมื่อถูกความร้อนจากไฟจะแห้งเข็งเป็นมัน ไม่ดูดซับน้ำ
เมื่อฝนตกทำให้เกิดการไหลบ่าของหน้าดินมากขึ้นและเกิดการกัดเซาะได้ง่ายอย่างยิ่ง
- การก่อสร้างถนน ในเขตภูเขาสูงบริเวณต้นน้ำ ตัวถนนซึ่งเปิดหน้าดินขึ้นมาหรือมูลดินที่เกรดทิ้งไว้ข้างทางจะเป็นแหล่งดินตะกอน ซึ่งจะถูกกัดชะลงในห้วยลำธาร ทำลายความเสียหายแก่คุณภาพน้ำได้มาก
- การเลี้ยงสัตว์ ชาวเขาที่อาศัยต้นน้ำจะเลี้ยงสัตว์แทบทุกครอบครัว จำพวกวัว ควาย ม้า โดยปล่อยให้หากินตามไร่ร้าง ทำให้ดินแน่นตัว ลดสมรรถนะในการดูดซับน้ำและทำให้เกิดการไหลบ่าของหน้าดินมากขึ้น
- การทำเหมืองแร่ น้ำที่ปล่อยสู่ลำห้วยจากพื้นที่ทำเหมืองมีตะกอนมาก การทำเหมืองแร่บนภูเขาสูงทำให้ดินที่เปิดออกถูกกัดชะได้ง่าย และยากที่จะฟื้นฟูให้เป็นสภาพเดิม หลังจากการทำเหมืองผ่านไปแล้ว
การใช้ยาฆ่าแมลงและวัชพืช หากใช้มากเกินไปไม่ถูกวิธีทำให้คุณภาพน้ำเสื่อมลง และเกิดอันตรายแก่ผู้ใช้
น้ำทางตอนล่างได้ และการจัดระบบหมู่บ้านบนที่สูงหากไม่ถูกสุขลักษณะก็จะก่อมลภาวะแก่น้ำในลำห้วย ลำธารได้
สาเหตุของการลดลงของป่าชายเลน

- การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะการทำนากุ้ง พื้นที่ป่าชายเลนเป็นแหล่งผลิตอินทรีย์สารและธาตุอาหารที่สำคัญ สำหรับสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนซึ่งมีมากมายหลายชนิด เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นต้น ดังนั้นการแผ้วถางป่าแล้วจึงขุดบ่อขึ้นภายหลัง เป็นการทำลายแหล่งแร่ธาตุที่มีการหมุนเวียน เพื่อให้เกิดการสมดุลตามระบบธรรมชาติในระบบนิเวศวิทยาป่าชายเลน และการทำนากุ้งวิธีนี้ยังทำความเสียหายแก่พื้นที่ป่าชายเลนมาก เพราะนอกจากจะตัดไม้ลงแล้ว ยังต้องขุดรากถอนโคนออกหมด เป็นการทำลายพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่มีอยู่ในบริเวณนั้น การทำลายป่าชายเลนในลักษณะนี้เป็นการเปลี่ยนสภาพจากพื้นที่ป่าไม้เป็นพื้นที่เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างถาวร ซึ่งเป็นการทำลาย ทรัพยากรป่าไม้และระบบนิเวศป่าชายเลนด้วย
- การทำเหมืองแร่ การทำเหมืองแร่มีส่วนในการทำลายสภาพป่าและความอุดมสมบูรณ์ของป่า จนยากที่จะฟื้นให้มีความสมบูรณ์เช่นเดิมในระยะเวลาอันสั้นได้ ทั้งนี้เนื่องจากวิธีการทำเหมืองแร่ จะต้องขุดให้ลึกจนถึงสายแร่ ดินตะกอน กรวด และทรายที่ถูกพลิกขึ้นมาทับถม ทำให้ป่าชายเลนไม่สามารถฟื้นตัวเกิดได้ดังเช่นเดิม นอกจากนั้น คุณภาพของน้ำยังเลวลง เนื่องจากมีตะกอนขุ่นข้นแขวนลอยอยู่ด้วย เมื่อตกตะกอนก็จะกลายเป็นดินดอนทำให้น้ำท่วมไม่ถึง มีแต่ความแห้งแล้ง ดังนั้น การทำเหมืองแร่จึงก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบนิเวศป่าชายเลนโดยตรง
- การก่อสร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่ เมื่อมีการตัดถนนป่าชายเลน ก็จะมีการถมที่และสร้างอาคารบ้านเรือน ร้านค้า ศูนย์การค้า ที่ทำการ และสำนักงานบริเวณนั้นติดตามมา ราษฎรที่อยู่ใกล้กับป่าชายเลนก็จะบุกรุกและถือโอกาสครอบครองที่ดินเป็นของตัวเอง
- การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้า การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้าผ่านพื้นที่ป่าชายเลน จะต้องมีการทำลายป่าชายเลนส่วนที่จะสร้างขึ้น เป็นเหตุให้ป่าชายเลนลดน้อยลง ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างอื่นตามมาด้วย เช่น สัตว์ในป่าชายเลนไม่มีที่อยู่อาศัย เป็นต้น และแนวถนนจะเป็นคันกั้นน้ำทะเล ทำให้น้ำทะเลไหลลงสู่ป่าชายเลนไม่ได้ ต้นไม้ในป่าชายเลนจะตาย
- การสร้างโรงงานอุตสาหกรรม พื้นที่ป่าชายเลนที่อยู่แถบชายฝั่งทะเลส่วนหนึ่งถูกบุกเบิกเพื่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้เสียพื้นที่ป่าชายเลนเป็นจำนวนมาก และโรงงานอุตสาหกรรมยังปล่อยของเสียลงสู่ป่าชายเลนบริเวณรอบข้าง ทำให้ระบบนิเวศป่าชายเลนถูกทำลาย
- การทำนาเกลือ เนื่องจากแสงแดดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเผาน้ำทะเลให้ระเหยแห้งจนตกผลึกกลายเป็นเกลือ ดังนั้น ป่าชายเลนโดยรอบจะถูกตัดฟันจนหมด เพื่อเปิดพื้นที่ให้โล่งมากที่สุด จึงเป็นสาเหตุให้ป่าชายเลนถูกทำลายเป็นจำนวนมาก
- การตัดไม้เกินกำลังของป่า ปริมาณความต้องการใช้ประโยชน์จากไม้ในป่าชายเลนมีจำนวนมาก เช่น การเผาถ่าน ทำเสาเข็ม ไม้ค้ำยัน เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น ซึงมากกว่ากำลังการผลิตของป่าชายเลน ทำให้ป่าชายเลนถูกบุกรุกเป็นจำนวนมาก
ระบบนิเวศป่าชายเลน
องค์ประกอบระบบนิเวศสามารถแบ่งออกเป็น 2 หมวดใหญ่ๆ ได้ดังนี้ 1) ส่วนประกอบที่ไม่มีชีวิต (abiotic component) เป็นส่วนประกอบในระบบนิเวศที่ไม่มีชีวิต
เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความสมดุลของระบบนิเวศขึ้นมา โดยมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต
ถ้าขาดองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตนี้สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศก็ไม่สามารถอยู่ได้ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- อนินทรีย์สาร เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติและเป็นส่วนประกอบที่เป็นแร่ธาตุพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเพื่อสร้างเนื้อเยื่อ
และอวัยวะต่างๆ เช่น ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน น้ำ ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ ่อยู่ในรูปของสารละลาย สิ่งมีชีวิตสามารถนำไปใช้ได้ทันที
- อินทรีย์สาร เป็นสารที่ได้จากสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ฮิวมัส เป็นต้น เกิดจากการเน่าเปื่อยผุพัง
ของสิ่งมีชีวิต โดยการย่อยสลายของจุลินทรีย์ ทำให้เป็นธาตุอาหารของพืชอีกครั้ง
- สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น แสงสว่าง อุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรด-เบส ความเค็มเป็นต้น
สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำให้การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนั้นแตกต่างกันออกไป
2) ส่วนประกอบที่มีชีวิต (biotic component) ได้แก่ พืช สัตว์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และสิ่งมีชีวิต
เซลล์เดียว ซึ่งช่วยทำให้ระบบนิเวศทำงานได้อย่างเป็นปกติ โดยแบ่งออกตามหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต ได้เป็น 3 ประเภท คือ
- ผู้ผลิต (producer) คือ สิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารเองได้โดยการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ พืชสีเขียว
แพลงก์ตอนพืช และแบคทีเรียบางชนิด ผู้ผลิตมีความสำคัญมากเพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่เชื่อมต่อระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต
และสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆในระบบนิเวศ
- ผู้บริโภค (consumer) คือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารขึ้นเองได้ แต่ได้รับธาตุอาหารจากการกินสิ่งมีชีวิต อื่นอีกทอดหนึ่ง พลังงานและแร่ธาตุจากอาหารที่สิ่งมีชีวิตกิน จะถูกถ่ายทอดสู่ผู้บริโภค ซึ่งแบ่งตามลำดับของการกินอาหารได้ ดังนี้
- ผู้บริโภคปฐมภูมิ (primary consumers) เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหาร (herbivore) โดยตรง
เช่น ปะการัง เม่นทะเล กวาง กระต่าย วัว เป็นต้น
ผู้บริโภคทุติยภูม (secondary consumers) เป็นสิ่งมีชีวิตพวกสัตว์กินเนื้อ (carnivore) หมายถึง
สัตว์ ที่กินสัตว์กินพืช หรือผู้บริโภคปฐมภูมิเป็นอาหาร เช่น ปลาไหลมอเรย์ ปลาสาก นก งู หมาป่า เป็นต้น
- ผู้บริโภคตติยภูมิ (tertiary consumers) เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินทั้งสัตว์กินพืชและสัตว์กินสัตว์หรือพวกที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร (omnivore) เช่น ปลาฉลาม
เต่า เสือ คน เป็นต้น
- ผู้ย่อยสลาย (decomposer) คือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ แต่อาศัยอาหารจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น โดยการสร้างน้ำย่อย ออกมาย่อยสลายแร่ธาตุต่างๆในส่วนประกอบของซากสิ่งมีชีวิตให้เป็นสารโมเลกุลเล็กๆ แล้วจึงดูดซึมอาหารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปใช้ เช่น แบคทีเรีย เห็ด รา เป็นต้น
ระบบนิเวศ มีคุณสมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ มีกลไกในการปรับสภาวะตนเองเพื่อให้อยู่ในสภาวะสมดุล โดยการที่ส่วนประกอบของระบบนิเวศทำให้เกิดการหมุนเวียนและถ่ายทอดสารอาหารผ่านสิ่งมีชีวิตซึ่งได้แก่ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายนั่นเอง ถ้าระบบนิเวศนั้นได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ และไม่มีอุปสรรคขัดขวางวัฏจักรของธาตุอาหาร ก็จะทำให้เกิด ภาวะสมดุล (equilibrium) ในระบบนิเวศนั้น ทำให้ระบบนิเวศนั้นมีความคงตัว ทั้งนี้เพราะการผลิตอาหารสมดุลกับการบริโภคภายในระบบนิเวศนั้น การปรับสภาวะตัวเองนี้ ทำให้การผลิตอาหาร และการเพิ่มจำนวนของสิ่งมีชีวิตอื่นๆในระบบนั้นมีความพอดีกัน กล่าวคือจำนวนประชากรชนิดใดๆ ในระบบนิเวศจะไม่สามารถเพิ่มจำนวนอย่างไม่มีขอบเขต




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น